ในปี 2024 ระบบการประมวลผลบนระบบคลาวด์ (Cloud Computing) จะเติบโตและก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะต่อการนำไปปรับใช้ในแพลตฟอร์มและการบริการใหม่ ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการที่จะก้าวขานำคู่แข่ง ยิ่งต้องปรับตัวให้ทัน และคว้าโอกาสในการใช้เทคโนโลยีระบบคลาวด์ก่อนใคร เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคง
เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมรับกับเทคโนโลยีระบบคลาวด์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2024 เรามีเทรนด์ Cloud Computing มาอัปเดตให้ได้รู้กัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการนำ AI เข้ามาใช้ควบคู่ไปกับระบบคลาวด์ รวมถึงการพัฒนาระบบให้ทำงานได้แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว จะมีเทรนด์ใดอีกบ้างที่น่าสนใจ ติดตามกันได้เลย
1. AI As-A-Service
ระบบคลาวด์มีบทบาทสำคัญในการทำให้ AI เข้าถึงคนทั่วไปได้ ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม พวกโมเดล AI เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ขับเคลื่อนระบบอัจฉริยะอย่าง ChatGPT ที่ต้องทำงานบนข้อมูลจำนวนมหาศาล จำเป็นต้องใช้การประมวลผลประสิทธิภาพสูง แต่เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีทรัพยากรที่จะทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง จึงต้องเข้าถึงบริการ AI ผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI นี้ได้
2. Hybrid And Multi-Cloud
องค์กรขนาดใหญ่ที่มีกลยุทธ์มัลติคลาวด์ที่ใช้บริการคลาวด์จากผู้ให้บริการมากกว่าหนึ่งราย โดยแนวโน้มนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 76% เป็น 85% ในปี 2024 โดยกลยุทธ์นี้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่น แต่ก็นำมาซึ่งความซับซ้อนในการกำกับดูแลข้อมูลและการเชื่อมต่อกับระบบเดิม จึงทำให้มัลติคลาวด์และไฮบริดคลาวด์ที่ผสมผสานคลาวด์กับโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ พยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับความยืดหยุ่น และเลือกใช้บริการที่ต้องการได้อย่างอิสระ
3. Real-Time Cloud Infrastructure
ในช่วงปี 2024 องค์กรต่าง ๆ จะต้องมองหาการใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบนาทีต่อนาทีจากเดิมที่เคยวิเคราะห์ข้อมูลที่เคยจัดเก็บไว้เป็นเวลานานแล้ว ในขณะเดียวกันข้อมูลที่เราใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ จะมาในรูปแบบของข้อมูลสตรีม เช่น ภาพยนตร์และเพลงจาก Netflix และ Spotify ข้อมูลวิดีโอจากการโทรของ Zoom หรือ Teams และความบันเทิงแบบสตรีมรูปแบบใหม่ เช่น เกมบนคลาวด์ ซึ่งหมายความว่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่จัดลำดับความสำคัญในการเข้าถึงได้ทันที เช่น อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ flash storage หรือ solid-state storage จะกลายเป็นที่ต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบคลาวด์เพิ่มมากขึ้น
4. Edge Computing
Edge Computing เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการประมวลผลข้อมูล โดยจะเป็นการประมวลผลในตำแหน่งที่ใกล้จุดกำเนิดของข้อมูลมากที่สุด ทำให้ช่วยลดเวลาการในการส่งข้อมูล เพื่อให้ได้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานระบบคลาวด์มากยิ่งขึ้น
5. Cloud Cost Optimization
ในทุก ๆ ธุรกิจ เรื่องของ ‘ต้นทุน’ มักเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ผู้ให้บริการระบบคลาวด์จึงได้มีการพัฒนาเครื่องมือและบริการใหม่ ๆ ที่จะช่วยในการบริหารต้นทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น อย่างการใช้ FinOps (Cloud Financial Operations) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้องค์กร สามารถบริหารค่าใช้จ่ายการใช้งาน Cloud ได้ จึงช่วยบริหารต้นทุนได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว และลักษณะการใช้งาน ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้
6. Blockchain
เทรนด์ระบบ Cloud Computing ที่ต้องพูดถึงอีกหนึ่งเทรนด์ก็คือ Blockchain เพราะในปี 2024 ผู้ให้บริการระบบคลาวด์กำลังจะนำเสนอโซลูชัน Blockchain-as-a-Service ที่เปิดให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถสร้างและปรับใช้แอปพลิเคชันบล็อกเชนในระบบคลาวด์ได้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือบริการใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. Privacy in the Cloud
ความเป็นส่วนตัวบนระบบคลาวด์ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโซลูชันต่าง ๆ กฎเกณฑ์และกฎหมายถูกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์และในขณะเดียวกันก็ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าข้อมูลของตนได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ เพราะธุรกิจที่ใช้บริการคลาวด์มักจะมีการรับส่งข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม ดังนั้นผู้ให้บริการคลาวด์จึงหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นในปี 2024