ประเภทของสีทาบ้านมีอะไรบ้าง “สีทาบ้าน” เป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศและสีสันให้กับบ้านของเรา อยากได้บ้านอารมณ์ไหนสีที่ใช้ทานั้นสามารถตอบสนองได้เป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญไม่แพ้กับความสวยงามแล้ว ความคงทนและการใช้งานประเภทของสีให้ถูกต้องกับลักษณะงานที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการทาสีภายใน ภายนอก ทาไม้ ทาเหล็ก ทาคอนกรีต เพื่อให้งานทาสีของเราสวยงาม คงทน ไม่หลุดร่อนง่าย ให้สีบ้านอยู่กับเราไปนานๆ
เป็นสีที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะสามารถใช้ทาได้ทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยสีที่ใช้ทาภายนอกนั้นจะมีราคาแพงกว่าสีทาภายใน เพราะเป็นสีที่มีอะคริลิคแบบ 100% และยังต้องผสมสารอื่นๆเข้าไปเพื่อช่วยป้องกันสภาพอากาศที่อยู่ภายนอก เช่น กันแดด กันฝน กันเชื้อรา กันตะไคร่น้ำ กันความเป็นกรด-ด่างต่าง ซึ่งเราควรให้ความสำคัญกับการเลือกสีอะคริลิคสำหรับทาภายนอกมากที่สุด เพราะถ้าเลือกไม่ได้เราอาจจะต้องทาสีบ้านใหม่บ่อยๆ เพราะสีทีไม่มีคุณภาพจะหลุดลอกออกมาง่ายมาก
เป็นสีที่ใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย นิยมใช้กับงานทาไม้ ทาเหล็ก แต่ก็สามารถเอามาทาพื้นปู หรือคอนกรีตได้เหมือนกัน ลักษณะเด่นของสีน้ำมันก็คือ มันจะมีความเงางาม ทำความสะอาดง่าย แต่ข้อด้อยของมันก็คือมันมีราคาแพง และแห้งช้า(ประมาณ 6 ชั่วโมง)
ใช้ทาเฟอร์นิเจอร์ไม้ ส่วนที่เป็นไม้ภายในบ้านให้เป็นสีตามต้องการ
ใช้ทาวัสดุเหล็กเพื่อกันสนิมขึ้น มักใช้ทาก่อนที่จะลงสีน้ำมันทับลงไปอีกที
ใช้ทาเพื่อรองพื้นวัสดุปูน คอนกรีต ทาก่อนที่จะทาสีจริงๆทับลงไป เพื่อลดความเป็นกรดของพื้นปูนและคอนกรีต ทำให้สีที่ลงจริงสามารถยึดเกาะกับวัสดุได้ดีขึ้น
เกรดของสีก็มีความสำคัญที่ควรเอามาพิจารณาว่า เราควรจะเลือกสีเกรดไหน กับบ้านส่วนไหนของเราบ้าง โดยเกรดสีนั้นจะแบ่งเป็น เกรด A , B , C , D และ E โดยความแตกต่างของสีแต่ละเกรดมีดังนี้
ความจริงแล้วการทาสีบ้านให้ติดทนนาน ใช้งานได้ชั่วลูกชั่วหลานนั้นง่ายๆมาก แต่เราต้องใส่ใจรายละเอียดกันสักหน่อย ก่อนอื่นเริ่มจากการเลือกสีให้เหมาะสมกับการใช้งาน คือหากเป็นสีที่เราต้องการใช้ทาภายนอก เราก็ควรเลือกสีที่เป็นเกรด A หรือ B ไปเลย แพงหน่อยแต่ใช้งานได้นานเป็น 10 ปี
แต่หากเป็นสีที่ใช้ทาภายในเราก็อาจดร็อปลงมาได้ เพราะสีภายในบ้านไม่ต้องต้องเผชิญกับสภาวะสิ่งแวดล้อมมากนัก แต่ก็ควรเลือกสีที่สามารถเช็ดและทำความสะอาดได้ง่าย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ
ส่วนการทาสีนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สีบ้านติดคงทนถาวรนั้นก็คือ การเตรียมพื้นผิวบริเวณที่เราทาสีให้ดี ให้เรียบ ไม่มีฝุ่นละอองยึดเกาะ ไม่มีไขมัน ไม่มีความชื้น หากมีรอยแตกก็ควรซ่อมแซมหาปูนมาปิดให้เรียบสนิท เมื่อเก็บความเรียบร้อยของพื้นผิวได้แล้ว จึงค่อยเอาสีที่เราต้องการทาทาลงไป โดยการทาสีนั้นก็ควรมาประมาณ 2-3 ชั้นขึ้นไป เพื่อให้สีเนียนเรียบ สวยงาม แต่อย่าทาเกิน 5 ชั้น เพราะจะทำให้ชั้นสีหนาเกินไป ซึ่งจะทำให้สีหลุดลอกได้ง่ายกว่าการทาเพียง 2-3 ชั้น นอกจากจะเปลืองสีมากกว่าแล้ว ความทนทานของสีก็ยังน้อยกว่าด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ smartmatching