การทำพื้นและผนังคอนกรีต มักจะพบปัญหาการแตกร้าว หลังจากงานแล้วเสร็จหรือแตกร้าวในภายหลังทำให้ต้องมีการดำเนินการซ่อมแซม ซึ่ง เราต้องมีความเข้าใจเรื่องสาเหตุของการเกิดปัญหาเพื่อที่จะนำไปสู่การดำเนินการแก้ไขได้อย่างถูกวิธี
สาเหตุของการแตกร้าวของพื้นและผนังคอนกรีต
3. สภาพการทำงานนับเป็นปัจจัยภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องในขณะทำงาน
- อุณหภูมิ (Temperature) ปกติอัตราการรับกำลังได้ของคอนกรีตจะแปรตามอุณหภูมิ อย่างไรก็ตามอิทธิพลที่สำคัญของอุณหภูมิที่มีต่อคอนกรีต คือ เมื่อคอนกรีตเย็นตัวลง จะหดตัว โดยเฉพาะงานคอนกรีตในอากาศร้อน และงานคอนกรีตปริมาณมากๆ (Mass Concrete) พื้นคอนกรีตที่หล่อขณะอากาศเย็นจะเกิดการแตกร้าวน้อยกว่าหล่อขณะอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้จะเกิดกับงานคอนกรีตสำหรับโครงสร้างอื่นๆ ด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ การเทคอนกรีตปริมาณมากๆ จึงมักเทในเวลากลางคืน
- การสัมผัสกับสภาพรอบข้าง (Exposure) ลักษณะอากาศที่คอนกรีตสัมผัสมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแตกร้าวของคอนกรีต อุณหภูมิและความชื้นที่แตกต่างกันมากในช่วงวัน เป็นผลทำให้เกิดการรั้งภายในของคอนกรีตอย่างมาก (internal Restraint) เพราะการยืดหดตัวของผิว และส่วนที่อยู่ภายในจะไม่เท่ากันทำให้คอนกรีตเกิดการแตกร้าวได้
4. การบ่มคอนกรีต (Curing)ความชื้นในคอนกรีต เป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าก่อนหรือหลังการบ่ม สำหรับงานพื้น ถ้าคอนกรีตแห้งเร็วเกินไป อัตราการระเหยของน้ำที่ผิวหน้าคอนกรีต อาจจะเร็วกว่าอัตราการเยิ้ม (Bleeding) เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ผิวหน้าของคอนกรีตจะเกิดการหดตัว ทำให้เกิดการแตกร้าวขึ้น การป้องกันสามารถทำได้โดยทำให้แบบหล่อซุ่มน้ำหลีกเลี่ยงการเทคอนกรีตในข่วงที่มีอุณหภูมิสูง บ่มคอนกรีตในทันทีที่ทำได้ พยายามป้องกันลมและแสงแดดขณะเทคอนกรีตเพื่อไม่ให้น้ำในคอนกรีตระเหยเร็วเกินไป
5. การยึดรั้งตัว (Restraint)คอนกรีตที่ถูกยึดรั้งไว้ ไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ไม่ว่าจะเป็นการยึดรั้งจากฐานรากหรือโครงสร้างใกล้เคียงก็จะทำให้เกิดการแตกร้าวขึ้นได้ การเกิดรอยแตกในแนวดิ่งที่ฐานกำแพงของอาคารถือเป็นเรื่องปกติ ถ้ารอยแตกนั้นไม่ขยายต่อถึงด้านบน ดังนั้นจึงมักพบว่า กำแพงหรือพื้นยาว ที่ไม่มีการตัด Joint มักจะเกิดรอยแตกขึ้นเป็นช่วงๆ ได้ส่วนกำแพงที่หล่อติดเป็นชิ้นเดียวกันกับโครงสร้าง มีโอกาสที่จะแตกร้าวทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ การยืดรั้งก็มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทรุดไม่เท่ากันของโครงสร้าง
โดยทั่วไป คอนกรีตที่ถูกยึดรั้งไม่ให้หดตัวสูงจะเกิดรอยแตกขึ้นมา แต่รอยแตกเหล่านี้จะมีลักษณะ เป็นรอยแคบๆการเสริมกำแพงหรือพื้นด้วยเหล็กปริมาณมาๆ ทำให้เกิดรอยแตกราวลักษณะนี้มากกว่าการเสริมเหล็กปริมาณน้อย หรือที่มักเรียกว่า เหล็กเสริมอุณหภูมิ (Temperature Reinforcement) แต่เมื่อรวมความกว้างของรอยแตกแล้วทั้ง 2 กรณี จะมีความกว้างเท่าๆกัน ทำนองเดียวกัน เหล็กที่รับแรงดึงสูง (High-Yield-point) ทำให้เกิดรอยแตกกระจายอยู่ทั่วไปมากกว่าเหล็กก่อสร้างทั่วไป (Structural-Grade-Steel) รอยแตกแคบๆมักไม่ก่อให้เกิด ปัญหาเพราะสังเกตได้ยากและฝนมีโอกาสซึมผ่านค่อนข้างน้อย
คอนกรีตที่เกิดการยึดรั้งภายในอาจเกิดขึ้นได้ถ้าเป็นโครงสร้างเดียวกัน แต่ใช้คอนกรีตที่มีส่วนผสมต่างกันเช่นใช้ปูนซีเมนต์ไม่เท่ากัน หรือ มีสัดส่วนของหิน-ทราย ที่ต่างกัน
จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เห็นได้ว่าสาเหตุการแตกร้าวของคอนกรีตนั้นมีมากมายซึ่งมักจะไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่มักจะเกิดจากหลายๆ สาเหตุพร้อมกัน
การแตกร้าวของคอนกรีตในตำแหน่งต่างๆ
รูปแบบและวิธีการในการซ่อมพื้นและผนังคอนกรีต
1. ใช้ Epoxy หรือ PU ซ่อมรอยแตกร้าวในโครงสร้างคอนกรีต เหมาะสำหรับรอยแตกร้าวขนาดเล็กทำได้โดย
เหมาะสำหรับการซ่อมคอนกรีตที่เกิดปัญหาหลากหลายรูปแบบทั้ง ซ่อมแซมโครงสร้างคอนกรีตที่ควบคุมการเทไม่ดีจนเกิดโพรง หรือน้ำปูนไหลออกจากแบบ ทำให้เกิดรูพรุน รูโพรงขนาดใหญ่ ,ใช้ฉาบซ่อมรอยแตกกะเทาะของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือฉาบเก็บความเรียบร้อย,เทระหว่างชิ้นส่วนหรือรอยต่อต่างๆ ใช้ฉาบปิดทับรอยร้าวเล็กๆ น้อยๆ, รวมไปถึงการเทยึดน๊อตเหล็ก,เทรองรับคานสะพาน,โครงสร้างขนาดใหญ่หรือมีรอยต่อเยอะ เทฐานแบบขนาดใหญ่ ฐานเครื่องจักร เสาตอม่อ ฐานรองรับทางรถไฟ,เทอุดรูเพื่อเสริมความแข็งแรง,เทพื้นใหม่ทับหน้าพื้นเดิม เป็นต้น โดยสามารถทำงานได้ดังนี้
ภาพตัวอย่างการใช้เครื่องพ่นปูนฉาบ ชนิดสกรูปั๊ม ในการปั๊มปูนเกร้าต์
บทความจาก PST Group
https://www.youtube.com/channel/UC29BiULmgDvqT8N17RIuM1